ปราสาทที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 3 ของปราสาทที่ต้องมาชมให้ได้ในชีวิต (อีก 2 แห่งคือปราสาทฮิเมจิ Himeji castle จังหวัดฮิเมจิ และปราสาทมัทสึโมะโตะ (Matsumoto castle) จังหวัดมัทสึโมะโตะ ปราสาทหลังนี้สร้างครั้งแรกในปีค.ศ.1497 และผ่านการบูรณะมาจนครั้งล่าสุดใช้เวลาถึง 10 ปี โดยเปิดให้เข้าชมเมื่อปีค.ศ. 2008 ก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือนเมษายนปีค.ศ. 2016 ซึ่่งศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ในเมืองคุมะโมะโตะ ทำให้ปราสาทได้รับความเสียหายหนัก และประเมินว่าอาจต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานถึง 15 ปี แต่ย้อนไปก่อนหน้าแผ่นดินไหวนั้น การเดินทางมาปราสาทแห่งนี้ เริ่มที่สถานีรถไฟ JR Kumamoto ด้วยตั๋วรถรางแบบ One day pass สาย A หรือสายสีแดง จากชานชาลาหมายเลข 3 ลงสถานีหมายเลข 10 (Kumamoto castle/City hall) จากนั้นเดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ จะเข้าสู่บริเวณปราสาทรอบนอก ซึ่งเป็นถนนเลียบคูน้ำ และกำแพงหิน ภาพแรกที่เห็นคือการถ่ายวีดีโอคู่แต่งงานของว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวอารมณ์ดีบนรถลากจินริคิฉะ (Jinrikisha) และนักดนตรีเปิดหมวกสุดเท่ นับเป็นสองสิ่งที่พบอยู่เสมอตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ







เมื่อสุดแนวกำแพงสู่จะเข้าสู่ปราสาทชั้นในที่เป็นลานสนามหญ้ากว้างมีซามูไรยืนแกว่งดาบสร้างบรรยากาศ และถ่ายรูปกับเหล่านักท่องเที่ยว โดยตัวปราสาทด้านหลังตั้งตระหง่านขนานกับอาคาร Uto turret ที่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นประตูทางเข้าหลัก หากใช้บริการ Kumamoto bus loop จะจอดที่ประตูหลักนี้ ปราสาทคุมะโมะโตะก็เช่นเดียวกัน ในปีค.ศ. 1877 ได้ถูกโจมตีด้วยการเผาทำลาย รออีกหลายปีต่อมาจึงได้รับการบูรณะให้คงรูปแบบดั้งเดิม จนได้รับการยกย่องว่าเป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญ 3 อันดับแรกของญี่ปุ่นที่ต้องมาชมให้ได้ในชีวิต ซึ่งไม่เฉพาะแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่รวมถึงคนญี่ปุ่นด้วย และนอกจากอาคารปราสาทแล้ว ยังมีอาคารบริวารอีกหลังหนึ่งคือ Hon-maru goten ที่เคยเป็นที่พำนักของโชกุนที่ได้รับการบูรณะตามรูปแบบดั้งเดิมเช่นเดียวกัน และเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีค.ศ. 2008 โดยเป็นอาคารไม้ที่มีโถงรับรองสีทองอร่าม (Shokun hall) ตกแต่งด้วยภาพวาดฝาผนัง และบนเพดานตามแบบราชสำนักจีน รวมทั้งมีโถงทางเข้าหลัก (O-hiroma main hall) ที่นำไปสู่ห้องโถงต่างๆ และทางเดินชั้นใต้ดิน (Karagari-tsuro) ฯลฯ อาคารหลักของปราสาทคุมะโมะโตะประกอบด้วยอาคารสองหลังเชื่อมกัน หลังหนึ่งสูง 6 ชั้น อีกหลังหนึ่งสูง 4 ชั้น เป็นสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นที่สร้างด้วยไม้ และเสร็จสมบูรณ์ในยุคเอโดะราวปีค.ศ. 1607 มีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการป้องกันการถูกโจมตีอย่างซับซ้อน โดยมีป้อมปราการหลายสิบหลัง และเช่นเดียวกับปราสาทหลังอื่นๆ ในประเทศ ซึ่งปราสาทมักถูกทำลายลงจากสงคราม และภัยพิบัติ
ในฤดูฝนแต่ฝนไม่ตก และแดดออกจ้าเ จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแถวยาวหลายร้อยเมตร ทำให้การขึ้นชมตัวปราสาทต้องต่อคิวไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโง จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปอาคาร Uto turret (ภายในไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพ) เห็นไม้แต่ละแผ่นที่ประกอบกันขึ้นเป็นอาคารแล้ว ช่างน่าทึ่งมาก โดยเฉพาะโครงสร้างหลังคาที่ซับซ้อนด้วยเทคนิคเข้าไม้แบบโบราณที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของช่างฝีมือญี่ปุ่น
ปราสาทคุมะโมะโตะ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้แล้วว่าในช่วงเวลาแห่งความสุขของฤดูใบไม้ผลิปีค.ศ. 2016 ขณะซะกุระกำลังเบ่งบาน แต่ได้เกิดแผ่นดินไหว โดยศูนย์กลางอยู่ในตัวเมืองคุมะโมโตะ ทำให้ปราสาทได้รับความเสียหายรุนแรง และแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นชนชาติที่ได้ชื่อว่าฟื้นฟูภัยพิบัติได้รวดเร็วเหลือเชื่อ แต่ปราสาทหลังงามนี้มีการประเมินว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 15 ปีนับจากวันเกิดเหตุ ทุกคนจึงต่างรอคอยวันที่ปราสาทคุมาโมโตะจะกลับมาสวยงามสมบูรณ์อีกครั้ง




ซะกุระโนะบะบะโจไซเอง (Sakura no baba josaien)
จากปราสาทมาทางประตูหลัก (Hohoate gate) เดินตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆ จะพบย่านกินช้อปแห่งนี้ ตั้งอยู่ใกล้ลานจอดรถนิโนะมะรุ (Ninomaru parking area) โดยจำลองบรรยากาศย้อนยุคในสมัยเอโดะไว้ ทั้งถนนหนทาง และหน้าตาร้านรวงต่างๆ ประกอบด้วยร้านอาหาร และร้านขายของท้องถิ่นรวม 23 ร้าน พร้อมศูนย์ศิลปวัฒนธรรมขนาดย่อม (Wakuwaku-za) โดยชั้น 1 เป็นสตูดิโอพร้อมชุดนักรบโราณ และคิโมะโนะ (Kimono) ให้เลือกสวมใส่ตามอัธยาศัย




บรรยากาศเมืองรถรางคุมะโมะโตะ กลับสู่สถานีรถไฟ JR Kumamoto
ถึงแล้ว JR Kumamoto



