ถ้าได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Kids on the slope แล้วละก็ จะต้องคุ้นกับชื่อเมืองสะเสะโบะในบรรยากาศย้อนยุคของหมู่บ้านเนินเขาที่มีโบสถ์คริสต์ พร้อมตัวละครที่เป็นลูกผสม บาร์ที่มีทหารเรืออเมริกันเข้าไปทำตัวกร่าง และหมู่เกาะคุจุคุ (Kujuku) ที่เป็นแบบนี้ เพราะสะเสะโบะเป็นเมืองทางตอนเหนือของจังหวัดนะงะสะกิ และเป็นเมืองที่กองทัพเรือสหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม ซึ่งเหล่าทหารไม่ได้มาตัวเปล่า แต่นำวัฒนธรรมอาหารเข้ามา นั่นคือแฮมเบอร์เกอร์ที่ต่อมาชาวสะเสะโบะได้ดัดแปลงรสชาติให้ถูกปากคนในท้องถิ่น จนเกิดสะเสะโบะเบอร์เกอร์สุดอร่อย เมืองนี้ยังมีสวนสนุกชื่อดังเฮ้าส์เทนบอช (Huis ten bosch) ที่ดึงดูดผู้คนให้มาท่องเที่ยวมากมาย หรือแม้แต่รอบๆ สถานีรถไฟ JR Sasebo ก็สามารถเดินเล่นได้อย่างเพลิดเพลินแล้ว
สะเสะโบะเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า “เมืองเบอร์เกอร์” จึงมีร้านดังอยู่หลายร้าน ถึงขั้นการท่องเที่ยวเมืองสะเสะโบะได้จัดทำแผ่นพับ พร้อมลายแทงเพื่อความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวเลยทีเดียว โดย 2 ร้านดังในจำนวนนั้นอยู่ติดกันที่บริเวณเชิงเขาในย่านยะทะเกะ (Yatake-cho) ที่ไม่ไกลจาก JR Sasebo ได้แก่ ล็อกคิต (Log kit) และฮิคะริ (Hikari) ซึ่งมีบรรยากาศสบายๆ ด้วยม้านั่งใต้ร่ม อารมณ์มานั่งกินอะไรเล่นๆ กับเบอร์เกอร์แบบชุดพร้อมเครื่องดื่มในราคาย่อมเยา แต่วันนั้นไปเช้าเกินเหตุ ร้านยังไม่เปิด เลยขึ้นไปเดินเล่นบนเนินเขาซึ่งอยู่ด้านหลัง จึงได้เห็นทิวทัศน์เมืองที่มีสายไฟพาดผ่านเป็นฉากหน้าประมาณนี้




จาก JR Sasebo เดินทอดน่องออกมาเพื่อไปโชเตงไก (Shotenkai) หรือตลาดถนนคนเดินที่ใช้เวลาเดินราว 20 นาที ในวันที่อากาศดี เพราะมีฝนตกพรำๆ ก็ได้พบโบสถ์คาทอลิกมิอุระมะจิหลังนี้โดดเด่นอยู่ริมทาง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิก (Gothic) สังเกตจากยอดเจดีย์ที่พุ่งสูงเสียดฟ้า อันเป็นสัญลักษณ์ความใกล้ชิด และเป็นหนทางสู่พระผู้เป็นเจ้าตามความเชื่อของชาวคาทอลิก ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ทำให้ดูราวกับปราสาทในเทพนิยายมาตั้งอยู่กลางใจเมือง จนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซินเดอเรลล่า หรือสโนไวท์ขึ้นมาในทันใด ว่าแต่ว่ารถฟักทอง รองเท้าแก้ว กับแอปเปิ้ลอาบยาพิษของแม่มดใจร้ายอยู่ที่ไหน .. ???


ถนนสายช้อปประจำท้องถิ่น หรือโชเตงไก ที่สองข้างทางจะเรียงรายด้วยร้านค้าสารพัดแบบ ซูเปอร์มาร์เก้็ต แผงลอยขายผักสดผลไม้ ร้านเสื้อผ้า ร้านของแต่งบ้าน ร้านเครื่องเขียน ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขนมหวานแบบดั้งเดิม (Wagashi) ร้านขนมตะวันตก ฯลฯ เช่นร้านเหล่านี้

โชเตงไกแห่งนี้มีร้านคัสเทลลา (Castella) ขนมหวานที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนะงะสะกิ ได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกสตั้งแต่เมื่อครั้งเปิดท่าเรือค้าขายที่จังหวัดนี้ในยุคที่ยังปิดประเทศช่วงปลายศตวรรษที่ 16โดยมีหลักฐานบ่งบอกสิ่งนี้ที่เดจิมะ (Dejima) หมู่บ้านตะวันตกที่สร้างในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับตอนเปิดท่าเรือเพื่อให้เป็นที่พนำักของชาวตะวันตก คัสเทลลาเป็นเค้กไข่ที่อร่อยมาก เนื้อเค้กนุ่มเหนียว และชุ่มฉ่ำ พร้อมด้วยขนมหวานญี่ปุ่นดั้งเดิม (Wagashi) อีกหลากหลายแบบ เพราะเป็นร้านเก่าแก่ที่สืบทอดวิชาทำขนมมาหลายชั่วรุ่นแล้ว ทั้งมันจู ไดฟุกุ โยคัง โดะระยะกิ ฯลฯ แบบบรรจุกล่อง 5-20 ชิ้น และแยกเป็นชิ้น เฉลี่ยชิ้นละ 200 เยน+- ล้วนเป็นขนมอบที่ปรุงจากแป้งสอดไส้ถั่วกวน เช่น ถั่วแดง ถั่วขาว ฯลฯ แบบนี้ต้องไปลองกันแล้วล่ะ


เยื้องกับร้านคัสเทลลาคือร้านครีมพัฟคุ๊กกี้ (Cream puffs Cookie) ที่นำเทคนิคคุกกี้มาผสมกับครีมพัฟ ทำให้หน้าขนมกรอบฟู และชั้นแป้งหนาขึ้น เหมือนคุ๊กกี้นิ่มไส้ครีม เป็นขนมตะวันตกที่นิยมมากสำหรับชาวญี่ปุ่น จึงเห็นได้บ่อย โดยเฉพาะตามสถานีรถไฟ JR ในเมืองต่างๆ ครีมพัฟ ชูครีม (Choux cream) และเอแคลร์ (Eclair) เป็นขนมตระกูลเดียวกัน แต่เทคนิคต่างกันตามแต่ท้องถิ่น ครีมพัฟเป็นแบบอังกฤษ ซูครีม และเอแคลร์เป็นแบบฝรั่งเศส ส่วนไทยหาขนมทั้ง 3 แบบ กินได้ แต่ที่นิยมกันมายาวนานคือเอแคลร์ที่เป็นลูกเล็กๆ สอดไส้วานิลลา กาแฟ ชอคโกแลต หรือชาเขียว แต่ถ้าเอแคลร์สำหรับชาวญี่ปุ่น จะเป็นลูกยาว ทรงรี และสอดไส้ต่างๆ จึงเป็นแบบอย่างขนมหวานสุดอร่อยที่มีความหมายทางวัฒนธรรมสอดแทรกอยู่ เพราะมีการปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหวที่ไม่รู้จบนั่นเอง


ร้านวินเทจที่ตั้งอยู่ระหว่างโชเตนไกกับสถานีรถไฟซาเซโบะ มีข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ของแต่งบ้าน ของสะสม ของที่ระลึก ฯลฯ เน้นงานฝีมือที่มีคุณค่าทางความรู้สึก มีความหมาย น่าเก็บสะสม เหมาะที่จะเป็นของขวัญ หรือนำไปจับฉลากตอนงานเลี้ยงปีใหม่ รับรองคนได้รับต้องดีใจ และถามว่าโอ้โหเธอไปขุดมาจากไหน (ฮา) ??? ร้านนี้เข้ามาแล้วจะรู้สึกเพลินมาก และตั้งชื่อได้เหมาะมาก เพราะเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในโลกเล็กๆ อีกใบหนึ่ง ขณะรอให้ฝนข้างนอกเบาลงกว่านี้หน่อยเพื่อกลับสู่สถานีรถไฟ JR Nagasaki


