จากเมืองโยะโกะฮะมะ จังหวัดคะนะงะวะ สู่เมือง และจังหวัดโตเกียว เมืองหลวงของประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความเจริญระดับมหานคร ซึ่งบรรยากาศก่อนเทศกาลปีใหม่จะมาถึงคึกคักมาก และอากาศก็เย็นจัดมากๆ แถมด้วยลมพัดแรงเว่อร์จนกระตุกหมวกขนสัตว์จากศรีษะลอยหายวับกับตาขณะยืนรอข้ามถนน สายวันนี้คิวแรกที่จะไปคือเกาะโอไดบะ (Odaiba) เกาะที่สร้างขึ้นด้วยการถมทะเล เพื่อให้เกิดแผ่นเดิน หรือเมืองใหม่ใกล้ชายฝั่งอ่าวโตเกียว

การเดินทางมาที่นี่ มีรถไฟลอยฟ้าสายยุริกะโมะเมะ (Yurikamome) แล่นข้ามอ่าวโตเกียวด้วย ทำให้ระหว่างทางได้ชมทิวทัศน์สะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge) ที่ทอดยาวเหนืออ่าวโตเกียวอย่างเต็มตา ครั้งที่เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่มาเกาะโอไดบะ ครั้งแรกมาโดยรถยนต์ ครั้งที่สองนั่งรถไฟสายนี้แหละมา แต่ตอนนั้นบนรางรถไฟยังไม่ได้มีการสร้างแนวกั้น ทำให้ขณะอยู่บนรถไฟ ซึ่งเป็นรถไฟรางเดียว (Monorail) แบบไร้คนขับ แถมรางอยู่สูงลิ่วมาก จึงเกิดความรู้สึกว่ากำลังนั่งรถไฟลอยฟ้า เพราะหวาดเสียวมากๆ ดังนั้น ถ้าใครต้องการสัมผัสบรรยากาศการเหิรเวหา ก็ต้องนั่งหน้าสุดของโบกี้แรกให้ได้

เป้าหมายสำหรับเกาะโอไดบะคือทีมแลปบอร์เดอร์เลส (TeamLab Borderless) หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัล (Mori Building Digital Art Museum) ตั้งอยู่ในย่านพาเลต์ (Palette) ถ้าเดินทางด้วยรถไฟลอยฟ้า ต้องมาขึ้นที่สถานีชิมบะชิ (Shimbashi) ซึ่งเป็นสถานีต้นทาง และเชื่อมกับรถไฟใต้ดิน โดยอยู่ระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่เพื่อให้ทันโอลิมปิค 2020 ที่ใกล้เข้ามาทุกที และจากสถานีชิมบะชิข้ามอ่าวโตเกียวราว 40 นาที ก็มาถึงสถานีอะโอะมิ (Aomi) เดินออกมาปุ๊บ จะเจอระเบียงพาเล่ต์ (Palette Town Giant Sky Walk) ที่นำมาสู่ทีมแลป แต่ขณะนั้นแถวเข้างานยาวเป็นงูกินหาง จนแถวต้องเลื้อยลงไปชั้นหนึ่งก่อน แล้วเลื้อยวนขึ้นมาชั้นสองใหม่ ราวหนึ่งชั่วโมงจึงใช้มือถือสแกน QR Code ที่ได้รับจากอีเมลเข้างานได้

ทีมแลปบอร์เดอร์เลสคือการรวมตัวของกลุ่มคนทำงานศิลปะดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยห้องหลัก ห้องย่อย และโซนเปิดโล่ง แต่ละห้องหลักมีการกำหนดธีม และแสดงผลงานตามธีมกว่า 40 ผลงาน จนผู้ชมเสมือนหลุดเข้าไปในดินแดนล้ำจินตนาการ และยังสามารถมีส่วนร่วมกับผลงานนั้นๆ (Interactive Digital Installation) ขณะเดินชมห้องต่างๆ ได้อย่างอิสระด้วย

ธีม “Borderless World” หรือโลกไร้ขอบเขตบนชั้นแรก เป็นห้องโล่ง ซึ่งบนพื้น และผนังทุกด้านคือจอภาพที่ละลานตาด้วยแสงสีเสียง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่น้ำตกมหึมากำลังไหลลงโขดหิน และผู้ชมสามารถขึ้นไปอยู่บนนั้นเสมือนสายน้ำรินผ่านตัวได้ (ผลงาน Universe of water particles on a rock where people gather) ขณะที่ผนังด้านอื่นๆ เต็มไปด้วยลวดลายทุ่งดอกไม้สลับสีสัน บางทีมีดาวตกพุ่งข้ามกันไปมา และหากยืนใกล้ผนัง เราจะกลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของลวดลายเหล่านั้นทันที (ผลงาน Forest of flowers and people : lost, Immersed and reborn)
ส่วนชั้นบนเป็นการต่อคิวที่หฤโหดในโซนเปิดโล่ง ซึ่งมีผนังจอภาพที่บรรดาสัตว์ต่างๆ เช่น ช้าง กระต่าย เสือ ฯลฯ กระโดดโลดเต้นไปมาให้ดูเพลินๆ (ผลงาน Animals of flowers born in the flower forest, Symbiotic lives) จนขึ้นสู่ชั้นบนในห้องธีม “Forest of Lamps” หรือป่าโคมไฟที่วับวาวด้วยแสงสีเสียงสะท้อนกันในห้องกระจก โดยเป็นห้องเดียวในขณะนั้นที่จำกัดเวลาเข้าชมเป็นกลุ่ม

ห้องต่อมาเป็นโซนเปิดโล่งธีม “Athletics Forest” ประกอบด้วยโซนย่อยคลื่นในท้องทะเล (ผลงาน Black Waves – Continuous) และโซนย่อยอื่นๆ เช่น โซนบัลลูน โซนเด็ก ฯลฯ

เต็มอิ่มกับทีมแลปบอร์เดอร์เลสแล้ว ขากลับแวะลงสถานี U07 ไดบะ (Daiba) จะเจอถนนลอยฟ้านำไปสู่จุดชมพระอาทิตย์ตกดิน และสัญลักษณ์ของเกาะโอไดบะ คือรูปปั้นเทพีเสรีภาพหน้าห้างอควาซิตี้ (Aqua City Odaiba) ซึ่งมีฉากหลังเป็นสะพานสายรุ้งเหนืออ่าวโตเกียว รวมทั้งสะพานไม้เลื้อยลงสู่ชายฝั่งทะเลที่มีหอนาฬิกาเล็กๆ ซ่อนตัวตรงโขดหิน

